กุญแจ 5 ดอกของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า แปลโดยคุณพรชัย
รัตนนนทชัยสุข(ต้นฉบับมาจาก The 5 Keys to Value Investing เขียนโดย J.
DennisJean-Jacques)
นับว่าเป็นแนวคิดที่ผมเชื่อว่าเป็นต้นแบบหนึ่งที่ดีที่สุดของการลงทุนแนวพื้นฐานหรือที่หลายๆท่านเรียกว่าValue
Investment (VI) แนวคิดที่ว่าประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 5อย่าง
ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางที่เรายึดถือปฏิบัติได้จริงก่อนพิจารณาลงทุนในบริษัทหนึ่งๆกุญแจ
5 ดอกกับการประยุกต์ใช้ที่ว่า ได้แก่
1. ธุรกิจการพิจารณาตัวธุรกิจที่เราจะลงทุนควรจะเริ่มจากการที่เราเข้าใจในธุรกิจนั้นๆอย่างถี่ถ้วน ว่าธุรกิจนั้นๆมีการเข้าออกของเงินอย่างไรปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อรายจ่ายและรายได้ของตัวบริษัทคืออะไรความเสี่ยงของตัวธุรกิจคืออะไรรวมไปถึงธรรมาภิบาลของผู้บริหารในบริษัทนั้นๆ เป็นอย่างไรข้อมูลส่วนนี้เราอาจจะหาเบื้องต้นได้จาก แบบ 56-1 ซึ่ง download ได้จากset.or.th หรือ sec.or.th อย่างน้อยๆ สิ่งที่เราควรจะต้องผ่านตาคือ บทของBusiness, Product, Risk, Financial ใน แบบ 56-1 นอกจากนั้นข้อมูลอื่นๆอาจจะหาได้จากบทสัมภาษผู้บริหาร, Oppday, AGM, หรือเว็บไซท์ของบริษัท
2. มูลค่าที่เหมาะสมมูลค่าที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่บอกด้วยตัวเลขที่แน่นอนค่อนข้างยากมูลค่าที่เหมาะสมของตัวเราอาจจะไม่เท่ากับของคนอื่นเนื่องจากแต่ละคนมีสมมุติฐานในการคำนวณมูลค่าแตกต่างกันปกติแล้ววิธีการคำนวณมูลค่ามีหลายวิธี ที่นิยมใช้กันมากคือใช้ค่า P/Eไปจนถึงวิธีที่ต้องใช้สมมติฐานค่อนข้างเยอะคือ DCF ผมมองว่าการใช้ P/Eในการบอกมูลค่าที่เหมาะสม จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เนื่องจากค่าP/E ที่เราให้กับบริษัทหนึ่งๆ ค่อนข้าง subjectiveเรามักจะต้องสั่งสมประสบการณ์ในตลาดพอสมควรจึงจะบอกได้ว่า P/Eที่เหมาะสมของบริษัทนั้นนี้ น่าจะมีค่าเท่าไหร่ ซึ่งการอยู่ในตลาดนานๆและการมองค่า P/E ของบริษัทในอดีตประกอบ จะทำให้เราเข้าใจและให้ค่า P/Eกับบริษัทในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมได้ดีขึ้น สำหรับ DCFนั้นต้องใช้องค์ประกอบหลายตัวในการคำนวณโอกาสในการผิดพลาดก็ยิ่งจะมากขี้นไปอีกสำหรับหนังสือเล่มนี้ใช้วิธีการหามูลค่าที่เหมาะสมหลายๆวิธีแล้วนำมาหาค่าเฉลี่ยอีกทีซึ่งผมก็คิดว่าทำให้เราได้ค่าที่ออกมาไม่โอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป
3. ราคาหุ้นสำหรับปัจจัยนี้ ผมคิดว่าเป็นแค่ตัวที่ใช้อ้างอิงให้เรารู้ว่า ณ เวลานี้เราควรลงทุนกับบริษัทนี้หรือไม่ ซึ่งเราอาจจะมีกฏการลงทุนของเราเอง เช่นในกรณีที่ค่า P/E ของทั้งตลาด < 10เราอาจต้องการลงทุนในบริษัทที่ราคาหุ้นในปัจจุบันมีส่วนลดจากมูลค่าที่เหมาะสมที่เราคำนวณได้ในข้อ 2 มากกว่า 50% หรือในกรณีที่ P/E ของทั้งตลาด >10เราอาจจะหาบริษัทที่มีส่วนลดดังกล่าวยากเราอาจจะกำหนดให้ส่วนลดที่ว่าเป็น มากกว่า 30% ในหนังสือการลงทุนเล่มนี้กล่าวไว้ว่า เราควรรู้ที่มาที่ไปของราคาด้วย หมายถึงสาเหตุอะไรที่ทำให้ราคาหุ้นขณะนั้นอยู่ที่เท่านั้น เราสามารถดูค่า P/Eที่ตลาดมอบให้กับหุ้นตัวนั้นในเวลานั้นๆพร้อมกับเวลาในอดีตมาประกอบในการคิดพิจารณา บางครั้งตลาดอาจจะให้ค่า P/Eของบริษัทต่ำประมาณ 5-6 ซึ่งเราอาจจะหาข้อมูลเพิ่มเติมและพบว่าบริษัทให้ปันผลในอัตราต่ำมาโดยตลอด หรือกำไรของบริษัททำนายได้ยากปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้ทำให้ตลาดมองข้ามบริษัทนี้ไปส่วนตัวผมกลับมาว่าจริงๆแล้วบริษัทที่ว่าอาจสร้างโอกาสทองให้เราได้ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หรือตัวเร่งขึ้น ไม่ภายในก็ภายนอกจนทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไปในทางที่มีแนวโน้มให้ตลาด ปรับ P/Eของบริษัทให้สูงขึ้น
4. ตัวเร่งการลงทุนแบบ VI ไม่ใช่การลงทุนแบบถือยาวแต่เป็นการลงทุนในบริษัทที่มีราคาซื้อขายในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่เราคำนวณได้และเชื่อว่าราคาหุ้นดังกล่าวจะ รับตัวขึ้นไปยังมูลค่านั้นๆในระยะเวลาที่เหมาะสม จริงๆแล้วการถือหุ้นเป็นระยะเวลานานเกินไปกว่าราคาจะปรับขึ้นไปยังเป้าหมายที่เราคาดไว้อาจทำให้ผลตอบแทนต่อปีที่เราได้ลดลงเนื่องจากเรามีต้นทุนอีกตัวที่คอยลดหลั่นผลตอบแทนที่เราจะทำได้เรียกว่าต้นทุนเวลาซึ่งตัวเร่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เราลดต้นทุนดังกล่าวเราอาจจะพบตัวเร่งได้จากข้อมูลที่ประกาศใน set.or.thก่อนตลาดเปิดช่วงเช้า ช่วงบ่าย หรือแม้แต่หลังตลาดปิด หรือจากบทสัมภาษผู้บริหารและการถามตอบใน Oppday หรือ AGM รวมทั้ง CompanyVisit ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากเราอาจจะได้ข่าวสารมาจากหลายแหล่งทุกทั่วสารทิศเราจึงควรประเมินตัวเร่งดังกล่าวอีกครั้งว่ามีโอกาสเกิดมากน้อยเพียงไรการพิจารณาเป็นกรณีๆไปถึงโอกาสเกิดของตัวเร่งแต่ละตัวอันจะส่งผลให้ราคาในตลาดวิ่งไปหามูลค่าที่เหมาะสมที่เราคาดไว้จะช่วยให้เราประเมินคร่าวๆ ได้ถึงผลตอบแทนที่คาดหวังได้ใน ช่วงเวลาหนึ่งๆ
5. ส่วนเผื่อความปลอดภัยปัจจัยนี้เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดในการเลือกลงทุนในบริษัทหนึ่งๆส่วนเผื่อความปลอดภัยในความหมายของผมไม่ใช่ Upsideหรือความแตกต่างระหว่างราคาปัจจุบันกับราคาเป้าหมายแต่เป็นความแตกต่างระหว่างราคาในปัจจุบัน กับราคาที่อาจจะเป็นไปได้ในกรณีที่เกิดอะไรแบบผิดคาด พูดง่ายๆ คือการที่เรามอง Downside risk ทางด้านราคาเป็นหลักไว้ก่อนนั่นเองการบอกถึงค่าที่แน่นอนของส่วนเผื่อความปลอดภัยนั้น ยากไม่แพ้การประเมินUpside ส่วนตัวผมคิดว่ายากกว่าการหา Upside ซะด้วยซ้ำเนื่องจากผมมองว่ามีหลายๆปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดสำหรับตัวผมเอง ผมมักจะดู อัตราเงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับจากผลประกอบการที่คาดว่าจะเป็นในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่ตลาดชอบอัตราเงินปันผล > 10% และไม่ค่อยให้ราคาต่ำกว่านั้นยกเว้นในกรณีที่เกิดวิกฤติ นอกจากดูอัตราเงินปันผลแล้วผมมักจะดูถึงกระแสการลงทุนในขณะนั้น ว่าผมอยู่ในกลุ่มในของการลงทุน เช่นกลุ่มแรกที่พบบริษัทนี้ กลุ่มที่สองที่ซื้อตามกลุ่มแรกหรือกลุ่มที่สามที่พบหลังสุดที่ลงทุนเมื่อทุกคนต่างก็พูดถึงหุ้นตัวนั้นๆแล้ว การดู technical และ กราฟประกอบจะทำให้เราเห็นภาพได้ชัดขึ้นส่วนตัวไม่ชอบที่จะลงทุนในกลุ่มที่สามเนื่องจากส่วนใหญ่กลุ่มที่สามนี้มักจะได้ซื้อหุ้นในราคาที่มีส่วนลดน้อยกว่ากลุ่มอื่นและมีความเสี่ยงของการตกของราคาหุ้นในกรณีที่เกิดเหตุการที่ไม่คาดฝันในทางลบแม้เพียงนิดเดียว ตามการที่เราประมาณการได้ว่าเรามีโอกาสที่จะขาดทุนได้เท่าไหร่เมื่อเราลงทุนในบริษัทนั้นๆ เวลานั้นๆทำให้เรามองเห็นส่วนเผื่อความปลอดภัยที่เรามีและช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาเงินต้นของเราได้
ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนไม่มีรูปแบบที่แน่นอนแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยยีดหลักแนวทางพื้นฐานที่เหมาะสมจะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่เหมาะสมเช่นเดียวกันในระยะยาวขอให้ทุกๆท่านโชคดีในการลงทุนครับ
1. ธุรกิจการพิจารณาตัวธุรกิจที่เราจะลงทุนควรจะเริ่มจากการที่เราเข้าใจในธุรกิจนั้นๆอย่างถี่ถ้วน ว่าธุรกิจนั้นๆมีการเข้าออกของเงินอย่างไรปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อรายจ่ายและรายได้ของตัวบริษัทคืออะไรความเสี่ยงของตัวธุรกิจคืออะไรรวมไปถึงธรรมาภิบาลของผู้บริหารในบริษัทนั้นๆ เป็นอย่างไรข้อมูลส่วนนี้เราอาจจะหาเบื้องต้นได้จาก แบบ 56-1 ซึ่ง download ได้จากset.or.th หรือ sec.or.th อย่างน้อยๆ สิ่งที่เราควรจะต้องผ่านตาคือ บทของBusiness, Product, Risk, Financial ใน แบบ 56-1 นอกจากนั้นข้อมูลอื่นๆอาจจะหาได้จากบทสัมภาษผู้บริหาร, Oppday, AGM, หรือเว็บไซท์ของบริษัท
2. มูลค่าที่เหมาะสมมูลค่าที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่บอกด้วยตัวเลขที่แน่นอนค่อนข้างยากมูลค่าที่เหมาะสมของตัวเราอาจจะไม่เท่ากับของคนอื่นเนื่องจากแต่ละคนมีสมมุติฐานในการคำนวณมูลค่าแตกต่างกันปกติแล้ววิธีการคำนวณมูลค่ามีหลายวิธี ที่นิยมใช้กันมากคือใช้ค่า P/Eไปจนถึงวิธีที่ต้องใช้สมมติฐานค่อนข้างเยอะคือ DCF ผมมองว่าการใช้ P/Eในการบอกมูลค่าที่เหมาะสม จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เนื่องจากค่าP/E ที่เราให้กับบริษัทหนึ่งๆ ค่อนข้าง subjectiveเรามักจะต้องสั่งสมประสบการณ์ในตลาดพอสมควรจึงจะบอกได้ว่า P/Eที่เหมาะสมของบริษัทนั้นนี้ น่าจะมีค่าเท่าไหร่ ซึ่งการอยู่ในตลาดนานๆและการมองค่า P/E ของบริษัทในอดีตประกอบ จะทำให้เราเข้าใจและให้ค่า P/Eกับบริษัทในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมได้ดีขึ้น สำหรับ DCFนั้นต้องใช้องค์ประกอบหลายตัวในการคำนวณโอกาสในการผิดพลาดก็ยิ่งจะมากขี้นไปอีกสำหรับหนังสือเล่มนี้ใช้วิธีการหามูลค่าที่เหมาะสมหลายๆวิธีแล้วนำมาหาค่าเฉลี่ยอีกทีซึ่งผมก็คิดว่าทำให้เราได้ค่าที่ออกมาไม่โอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป
3. ราคาหุ้นสำหรับปัจจัยนี้ ผมคิดว่าเป็นแค่ตัวที่ใช้อ้างอิงให้เรารู้ว่า ณ เวลานี้เราควรลงทุนกับบริษัทนี้หรือไม่ ซึ่งเราอาจจะมีกฏการลงทุนของเราเอง เช่นในกรณีที่ค่า P/E ของทั้งตลาด < 10เราอาจต้องการลงทุนในบริษัทที่ราคาหุ้นในปัจจุบันมีส่วนลดจากมูลค่าที่เหมาะสมที่เราคำนวณได้ในข้อ 2 มากกว่า 50% หรือในกรณีที่ P/E ของทั้งตลาด >10เราอาจจะหาบริษัทที่มีส่วนลดดังกล่าวยากเราอาจจะกำหนดให้ส่วนลดที่ว่าเป็น มากกว่า 30% ในหนังสือการลงทุนเล่มนี้กล่าวไว้ว่า เราควรรู้ที่มาที่ไปของราคาด้วย หมายถึงสาเหตุอะไรที่ทำให้ราคาหุ้นขณะนั้นอยู่ที่เท่านั้น เราสามารถดูค่า P/Eที่ตลาดมอบให้กับหุ้นตัวนั้นในเวลานั้นๆพร้อมกับเวลาในอดีตมาประกอบในการคิดพิจารณา บางครั้งตลาดอาจจะให้ค่า P/Eของบริษัทต่ำประมาณ 5-6 ซึ่งเราอาจจะหาข้อมูลเพิ่มเติมและพบว่าบริษัทให้ปันผลในอัตราต่ำมาโดยตลอด หรือกำไรของบริษัททำนายได้ยากปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้ทำให้ตลาดมองข้ามบริษัทนี้ไปส่วนตัวผมกลับมาว่าจริงๆแล้วบริษัทที่ว่าอาจสร้างโอกาสทองให้เราได้ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หรือตัวเร่งขึ้น ไม่ภายในก็ภายนอกจนทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไปในทางที่มีแนวโน้มให้ตลาด ปรับ P/Eของบริษัทให้สูงขึ้น
4. ตัวเร่งการลงทุนแบบ VI ไม่ใช่การลงทุนแบบถือยาวแต่เป็นการลงทุนในบริษัทที่มีราคาซื้อขายในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่เราคำนวณได้และเชื่อว่าราคาหุ้นดังกล่าวจะ รับตัวขึ้นไปยังมูลค่านั้นๆในระยะเวลาที่เหมาะสม จริงๆแล้วการถือหุ้นเป็นระยะเวลานานเกินไปกว่าราคาจะปรับขึ้นไปยังเป้าหมายที่เราคาดไว้อาจทำให้ผลตอบแทนต่อปีที่เราได้ลดลงเนื่องจากเรามีต้นทุนอีกตัวที่คอยลดหลั่นผลตอบแทนที่เราจะทำได้เรียกว่าต้นทุนเวลาซึ่งตัวเร่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เราลดต้นทุนดังกล่าวเราอาจจะพบตัวเร่งได้จากข้อมูลที่ประกาศใน set.or.thก่อนตลาดเปิดช่วงเช้า ช่วงบ่าย หรือแม้แต่หลังตลาดปิด หรือจากบทสัมภาษผู้บริหารและการถามตอบใน Oppday หรือ AGM รวมทั้ง CompanyVisit ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากเราอาจจะได้ข่าวสารมาจากหลายแหล่งทุกทั่วสารทิศเราจึงควรประเมินตัวเร่งดังกล่าวอีกครั้งว่ามีโอกาสเกิดมากน้อยเพียงไรการพิจารณาเป็นกรณีๆไปถึงโอกาสเกิดของตัวเร่งแต่ละตัวอันจะส่งผลให้ราคาในตลาดวิ่งไปหามูลค่าที่เหมาะสมที่เราคาดไว้จะช่วยให้เราประเมินคร่าวๆ ได้ถึงผลตอบแทนที่คาดหวังได้ใน ช่วงเวลาหนึ่งๆ
5. ส่วนเผื่อความปลอดภัยปัจจัยนี้เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดในการเลือกลงทุนในบริษัทหนึ่งๆส่วนเผื่อความปลอดภัยในความหมายของผมไม่ใช่ Upsideหรือความแตกต่างระหว่างราคาปัจจุบันกับราคาเป้าหมายแต่เป็นความแตกต่างระหว่างราคาในปัจจุบัน กับราคาที่อาจจะเป็นไปได้ในกรณีที่เกิดอะไรแบบผิดคาด พูดง่ายๆ คือการที่เรามอง Downside risk ทางด้านราคาเป็นหลักไว้ก่อนนั่นเองการบอกถึงค่าที่แน่นอนของส่วนเผื่อความปลอดภัยนั้น ยากไม่แพ้การประเมินUpside ส่วนตัวผมคิดว่ายากกว่าการหา Upside ซะด้วยซ้ำเนื่องจากผมมองว่ามีหลายๆปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดสำหรับตัวผมเอง ผมมักจะดู อัตราเงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับจากผลประกอบการที่คาดว่าจะเป็นในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่ตลาดชอบอัตราเงินปันผล > 10% และไม่ค่อยให้ราคาต่ำกว่านั้นยกเว้นในกรณีที่เกิดวิกฤติ นอกจากดูอัตราเงินปันผลแล้วผมมักจะดูถึงกระแสการลงทุนในขณะนั้น ว่าผมอยู่ในกลุ่มในของการลงทุน เช่นกลุ่มแรกที่พบบริษัทนี้ กลุ่มที่สองที่ซื้อตามกลุ่มแรกหรือกลุ่มที่สามที่พบหลังสุดที่ลงทุนเมื่อทุกคนต่างก็พูดถึงหุ้นตัวนั้นๆแล้ว การดู technical และ กราฟประกอบจะทำให้เราเห็นภาพได้ชัดขึ้นส่วนตัวไม่ชอบที่จะลงทุนในกลุ่มที่สามเนื่องจากส่วนใหญ่กลุ่มที่สามนี้มักจะได้ซื้อหุ้นในราคาที่มีส่วนลดน้อยกว่ากลุ่มอื่นและมีความเสี่ยงของการตกของราคาหุ้นในกรณีที่เกิดเหตุการที่ไม่คาดฝันในทางลบแม้เพียงนิดเดียว ตามการที่เราประมาณการได้ว่าเรามีโอกาสที่จะขาดทุนได้เท่าไหร่เมื่อเราลงทุนในบริษัทนั้นๆ เวลานั้นๆทำให้เรามองเห็นส่วนเผื่อความปลอดภัยที่เรามีและช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาเงินต้นของเราได้
ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนไม่มีรูปแบบที่แน่นอนแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยยีดหลักแนวทางพื้นฐานที่เหมาะสมจะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่เหมาะสมเช่นเดียวกันในระยะยาวขอให้ทุกๆท่านโชคดีในการลงทุนครับ
ดร. ชาคริต สุวรรณโชติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น